บันทึกหลังการเรียนรู้ครั้งที่10
วันศุกร์ที่10มีนาคม2560
8.เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
(Children with
Behavioral and Emotional Disorders)
•
มีความรู้สึกนึกคิดที่ผิดไปจากปกติ
•
แสดงออกถึงความต้องการทำร้ายตนเองหรือผู้อื่น
•
มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ
•
เด็กที่มีการควบคุมอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปกตินานๆ
ไม่ได้
•
เด็กที่ควบคุมพฤติกรรมบางอย่างของตนเองไม่ได้
•
ทำให้ไม่สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเรียบร้อย
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
•
ความวิตกกังวล (Anxiety) ซึ่งทำให้เด็กมีนิสัยขี้กลัว
•
ภาวะซึมเศร้า (Depression) มีความเศร้าในระดับที่สูงเกินไป
•
ปัญหาทางสุขภาพ
และขาดแรงกระตุ้นหรือความหวังในชีวิต
ด้านความประพฤติ (Conduct Disorders)
•
ทำร้ายผู้อื่น ทำลายสิ่งของ
ลักทรัพย์
•
ฉุนเฉียวง่าย หุนหันพลันแล่น
และเกรี้ยวกราด
•
กลับกลอก เชื่อถือไม่ได้ ชอบโกหก
ชอบโทษผู้อื่น
•
เอะอะและหยาบคาย
•
หนีเรียน รวมถึงหนีออกจากบ้าน
•
ใช้สารเสพติด
•
หมกมุ่นในกิจกรรมทางเพศ
ด้านความตั้งใจและสมาธิ
(Attention and
Concentration)
•
จดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งในระยะสั้น
(Short
attention span) อาจไม่เกิน 20 วินาที
•
ถูกสิ่งต่างๆ
รอบตัวดึงความสนใจได้ตลอดเวลา
•
งัวเงีย ไม่แสดงความสนใจใดๆ
รวมถึงมีท่าทางเหมือนไม่ฟังสิ่งที่ผู้อื่นพูด
สมาธิสั้น (Attention Deficit)
•
มีลักษณะกระวนกระวาย
ไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ หยุกหยิกไปมา
•
พูดคุยตลอดเวลา
มักรบกวนหรือเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่น
•
มีทักษะการจัดการในระดับต่ำ
การถอนตัวหรือล้มเลิก
(Withdrawal)
•
หลีกเลี่ยงการปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
และมักรู้สึกว่าตนเองด้อยกว่าผู้อื่น
•
เฉื่อยชา
และมีลักษณะคล้ายเหนื่อยตลอดเวลา
•
ขาดความมั่นใจ ขี้อาย ขี้กลัว
ไม่ค่อยแสดงความรู้สึก
ความผิดปกติในการทำงานของร่างกาย(Function Disorder)
•
ความผิดปกติเกี่ยวกับพฤติกรรมการกิน
(Eating
Disorder)
•
การอาเจียนโดยสมัครใจ (Voluntary
Regurgitation)
•
การปฏิเสธที่จะรับประทาน
•
รับประทานสิ่งที่รับประทานไม่ได้
•
โรคอ้วน (Obesity)
•
ความผิดปกติของการขับถ่ายทั้งอุจจาระและปัสสาวะ
(Elimination
Disorder)
ภาวะความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์ระดับรุนแรง
•
ขาดเหตุผลในการคิด
•
อาการหลงผิด (Delusion)
•
อาการประสาทหลอน (Hallucination)
•
พฤติกรรมการทำร้ายตัวเอง
สาเหตุ
•
ปัจจัยทางชีวภาพ (Biology)
•
ปัจจัยทางจิตสังคม (Psychosocial)
ผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อเด็ก
•
ไม่สามารถเรียนหนังสือได้เช่นเด็กปกติ
•
รักษาความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือกับครูไม่ได้
•
มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน
•
มีความคับข้องใจ
มีความเก็บกดอารมณ์
•
แสดงอาการทางร่างกาย เช่น
ปวดศีรษะ ปวดตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
•
มีความหวาดกลัว
เด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม
ซึ่งจัดว่ามีความรุนแรงมาก
•
เด็กสมาธิสั้น (Children
with Attention Deficit and Hyperactivity Disorders)
•
เด็กออทิสติก (Autistic) หรือ ออทิสซึ่ม (Autisum)
เด็กสมาธิสั้น
(Children with
Attention Deficit Hyperactivity Disorders)
เป็นภาวะผิดปกติทางจิตเวชมีลักษณะเด่นอยู่
3 ประการ คือ
Inattentiveness (สมาธิสั้น)
•
ทำอะไรได้ไม่นาน วอกแวก
ไม่มีสมาธิ
•
ไม่สามารถจดจ่อกับงานที่กำลังทำได้นานเพียงพอ
•
มักใจลอยหรือเหม่อลอยง่าย
•
เด็กเล็กๆจะเล่นอะไรได้ไม่นาน
เปลี่ยนของเล่นไปเรื่อยๆ
•
เด็กโตมักทำงานไม่เสร็จตามที่สั่ง
ทำงานตกหล่น ไม่ครบ ไม่ละเอียด
Hyperactivity (ซนอยู่ไม่นิ่ง)
•
ซุกซนไม่ยอมอยู่นิ่ง ซนมาก
•
เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
•
เหลียวซ้ายแลขวา
•
ยุกยิก แกะโน่นเกานี่
•
อยู่ไม่สุข ปีนป่าย
•
นั่งไม่ติดที่
•
ชอบคุยส่งเสียงดังรบกวนคนรอบข้าง
Impulsiveness (หุนหันพลันแล่น)
•
ยับยั้งตัวเองไม่ค่อยได้
มักทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด วู่วาม
•
ขาดความยับยั้งชั่งใจ
•
ไม่อดทนต่อการรอคอย หรือกฎระเบียบ
•
ไม่อยู่ในกติกา
•
ทำอะไรค่อนข้างรุนแรง
•
พูดโพล่ง ทะลุกลางปล้อง
•
ไม่รอคอยให้คนอื่นพูดจบก่อน
ชอบมาสอดแทรกเวลาคนอื่นคุยกัน
สาเหตุ
•
ความผิดปกติของสารเคมีบางชนิดในสมอง
เช่น
โดปามีน (dopamine) นอร์อิพิเนฟริน (norepinephrine)
•
ความผิดปกติในการทำงานของวงจรที่ควบคุมสมาธิ
และการตื่นตัว อยู่ที่สมองส่วนหน้า (frontal cortex)
•
พันธุกรรม
•
สิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสมาธิสั้น
•
สมาธิสั้น
ไม่ได้เกิดจากความผิดของพ่อแม่ที่เลี้ยงดูลูกผิดวิธี ตามใจมากเกินไป หรือปล่อยปละละเลยจนเกินไป
และไม่ใช่ความผิดของเด็กที่ไม่สนใจ ไม่ใส่ใจ
แต่ปัญหาอยู่ที่การทำงานของสมองที่ควบคุมเรื่องสมาธิของเด็ก
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรมและอารมณ์
•
อุจจาระ ปัสสาวะรดเสื้อผ้า
หรือที่นอน
•
ยังติดขวดนม หรือตุ๊กตา
และของใช้ในวัยทารก
•
ดูดนิ้ว กัดเล็บ
•
หงอยเหงาเศร้าซึม การหนีสังคม
•
เรียกร้องความสนใจ
•
อารมณ์หวั่นไหวง่ายต่อสิ่งเร้า
•
ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว
•
ฝันกลางวัน
•
พูดเพ้อเจ้อ
9. เด็กพิการซ้อน
(Children with Multiple Handicaps)
•
เด็กที่มีความบกพร่องที่มากกว่าหนึ่งอย่าง
เป็นเหตุให้เกิดปัญหาขัดข้องในการเรียนรู้อย่างมาก
•
เด็กปัญญาอ่อนที่สูญเสียการได้ยิน
•
เด็กปัญญาอ่อนที่ตาบอด
•
เด็กที่ทั้งหูหนวกและตาบอด
ประเมินหลังการเรียนรู้
ประเมินอาจารย์
อาจารย์สอนเข้าใจง่ายมีภาพมาประกอบการเรียนการสอนและสาธิตให้เห็นภาพจริง
ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอนให้ความร่วมมือกับอาจารย์ผู้สอนเป็นอย่างดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น