บันทึกหลังการเรียนครั้งที่4
วันศุกร์ที27มกราคม2560
เนื้อหาการเรียน
เรื่องประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
เนื้อหาการเรียน
เรื่องประเภทของเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
4. เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (Children with Speech
and Language Disorders)
เด็กที่มีความบกพร่องทางการพูด
หมายถึง
เด็กที่มีความบกพร่องซึ่งเกิดจากการพูดผิดปกติ
ในด้านความชัดเจนในการปรับปรุงแต่งระดับและคุณภาพของเสียง
จังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
1. ความบกพร่องในด้านการปรุงเสียง (Articulator Disorders)
•
เสียงบางส่วนของคำขาดหายไป
"ความ" เป็น "คาม"
•
ออกเสียงของตัวอื่นแทนตัวที่ถูกต้อง
"กิน" "จิน" กวาด ฟาด
•
เพิ่มเสียงที่ไม่ใช่เสียงที่ถูกต้องลงไปด้วย
"หกล้ม" เป็น "หก-กะ-ล้ม"
•
เสียงเพี้ยนหรือแปล่ง "แล้ว"
เป็น "แล่ว"
2. ความบกพร่องของจังหวะและขั้นตอนของเสียงพูด
(speech Flow Disorders)
• พูดไม่ถูกตามลำดับขั้นตอน
ไม่เป็นไปตามโครงสร้างของภาษา
•
การเว้นวรรคตอนไม่ถูกต้อง
•
อัตราการพูดเร็วหรือช้าเกินไป
•
จังหวะของเสียงพูดผิดปกติ
•
เสียงพูดขาดความต่อเนื่อง สละสลวย
3. ความบกพร่องของเสียงพูด Voice Disorders)
•
ความบกพร่องของระดับเสียง
•
เสียงดังหรือค่อยเกินไป
•
คุณภาพของเสียงไม่ดี
ความบกพร่องทางภาษา
หมายถึง
การขาดความสามารถที่จะเข้าใจความหมายของคำพูด
และ/หรือไม่สามารถแสดงความคิดออกมาเป็นถ้อยคำได้
1. การพัฒนาการทางภาษาช้ากว่าวัย (Delayed Language)
•
มีความยากลำบากในการใช้ภาษา
•
มีความผิดปกติของไวยากรณ์และโครงสร้างของประโยค
•
ไม่สามารถสร้างประโยคได้
•
มีความบกพร่องทางเชาว์ปัญญา อารมณ์
สมองผิดปกติ
•
ภาษาที่ใช้เป็นภาษาห้วน ๆ
2. ความผิดปกติทางการพูดและภาษาอันเนื่องมาจากพยาธิสภาพที่สมอง โดยทั่วไปเรียกว่าDysphasia หรือ aphasia
•
อ่านไม่ออก (alexia)
•
เขียนไม่ได้ (agraphia )
•
สะกดคำไม่ได้
•
ใช้ภาษาสับสนยุ่งเหยิง
•
จำคำหรือประโยคไม่ได้
•
ไม่เข้าใจคำสั่ง
•
พูดตามหรือบอกชื่อสิ่งของไม่ได้
Gerstmann’s syndrome
•
ไม่รู้ชื่อนิ้ว (finger agnosia)
•
ไม่รู้ซ้ายขวา (allochiria)
•
คำนวณไม่ได้ (acalculia)
•
เขียนไม่ได้ (agraphia)
•
อ่านไม่ออก (alexia)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางการพูดและภาษา
•
ในวัยทารกมักเงียบผิดธรรมชาติ
ร้องไห้เบา ๆ และอ่อนแรง
•
ไม่อ้อแอ้ภายในอายุ 10 เดือน
•
ไม่พูดภายในอายุ 2 ขวบ
•
หลัง 3 ขวบแล้วภาษาพูดของเด็กก็ยังฟังเข้าใจยาก
•
ออกเสียงตัวสะกดไม่ได้
•
หลัง 5 ขวบ เด็กยังคงใช้ภาษาที่เป็นประโยคไม่สมบูรณ์ในระดับประถมศึกษา
•
มีปัญหาในการสื่อความหมาย
พูดตะกุกตะกัก
•
ใช้ท่าทางในการสื่อความหมาย
5. เด็กที่มีความบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ (Children with Physical
and Health Impairments)
•
เด็กที่มีอวัยวะไม่สมส่วน
•
อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งหายไป
•
เจ็บป่วยเรื้อรังรุนแรง
•
มีปัญหาทางระบบประสาท
•
มีความลำบากในการเคลื่อนไหว
โรคลมชัก
(Epilepsy)
•
เป็นลักษณะอาการที่เกิดเนื่องมาจากความผิดปกติของระบบสมอง
•
มีกระแสไฟฟ้าที่ผิดปกติและมากเกินปล่อยออกมาจากเซลล์สมองพร้อมกัน
1.การชักในช่วงเวลาสั้น ๆ (Petit Mal)
•
อาการเหม่อนิ่งเป็นเวลา 5-10วินาที
•
มีการกระพริบตาหรืออาจมีเคี้ยวปาก
•
เมื่อเกิดอาการชักเด็กจะหยุดชะงักในท่าก่อนชัก
•
เด็กจะนั่งเฉย
หรือเด็กอาจจะตัวสั่นเล็กน้อย
2.การชักแบบรุนแรง (Grand Mal)
•
เมื่อเกิดอาการชัก เด็กจะส่งเสียง
หมดความรู้สึก ล้มลง กล้ามเนื้อเกร็ง เกิดขึ้นราว 2-5 นาที จากนั้นจะหาย และนอนหลับไปชั่วครู
3.อาการชักแบบ Partial Complex
•
มีอาการประมาณไม่เกิน 3 นาที
•
เหม่อนิ่ง
•
เหมือนรู้สึกตัวแต่ไม่รับรู้และไม่ตอบสนองต่อคำพูด
•
หลังชักอาจจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้
และต้องการนอนพัก
4.อาการไม่รู้สึกตัว (Focal Partial)
•
เป็นอาการที่เกิดขึ้นในระยะสั้น
เด็กไม่รู้สึกตัว อาจทำอะไรบางอย่างโดยที่ตัวเองไม่รู้ เช่น ร้องเพลง ดึงเสื้อผ้า
เดินเหม่อลอย แต่ไม่มีอาการชัก
5.ลมบ้าหมู (Grand Mal)
•
เมื่อเกิดอาการชักจะทำให้หมดสติ
และหมดความรู้สึกในขณะชักกล้ามเนื้อเกร็งหรือแขนขากระตุก กัดฟัน กัดลิ้น
การปฐมพยาบาลขั้นพื้นฐาน
ในกรณีเด็กมีอาการชัก
•
จับเด็กนอนตะแคงขวาบนพื้นราบที่ไม่มีของแข็ง
•
ไม่จับยึดตัวเด็กขณะชัก
•
หาหมอนหรือสิ่งนุ่มๆรองศีรษะ
•
ดูดน้ำลาย เสมหะ เศษอาหารออกจากปาก
เพื่อให้ทางเดินหายใจโล่ง
•
จัดเสื้อผ้าเด็กให้หลวม
•
ห้ามนำวัตถุใดๆใส่ในปาก
•
ทำการช่วยหายใจโดยวิธีการเป่าปากหากเด็กหยุดหายใจ
ซี.พี. (Cerebral
Palsy)
•
การเป็นอัมพาตเนื่องจากระบบประสาทสมองพิการ
หรือเป็นผลมาจากสมองที่กำลังพัฒนาถูกทำลายก่อนคลอด ระหว่างคลอด หรือหลังคลอด
•
การเคลื่อนไหว
การพูด พัฒนาการล่าช้า เด็กซีพี มีความบกพร่องที่เกิดจากส่วนต่าง ๆ
ของสมองแตกต่างกัน
1.กลุ่มแข็งเกร็ง
(spastic)
•
spastic hemiplegia อัมพาตครึ่งซีก
•
spastic diplegia อัมพาตครึ่งท่อนบน
•
spastic paraplegiaอัมพาตครึ่งท่อนบน
•
spastic quadriplegia อัมพาตทั้งตัว
2.กลุ่มที่มีการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเอง
(athetoid , ataxia)
•
athetoid อาการขยุกขยิกช้า ๆ หรือเคลื่อนไหวเร็วๆที่เท้า แขน มือ หรือที่ใบหน้าของ
เด็กบางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
•
ataxia มีความผิดปกติในการทรงตัวของร่างกาย กล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน
3. กลุ่มอาการแบบผสม (Mixed)
กล้ามเนื้ออ่อนแรง
(Muscular Distrophy)
•
เกิดจากเส้นประสาทสมองที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนนั้น
ๆ เสื่อมสลายตัว
•
เดินไม่ได้ นั่งไม่ได้ นอนอยู่กับที่
•
จะมีความพิการซ้อนในระยะหลัง คือ
ความจำแย่ลง สติปัญญาเสื่อม
โรคทางระบบกระดูกกล้ามเนื้อ
(Orthopedic)
•
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการแต่กำเนิด
เช่น เท้าปุก (Club Foot) กระดูกข้อสะโพกเคลื่อน
อัมพาตครึ่งท่อนเนื่องจากกระดูกไขสันหลังส่วนล่างไม่ติด (Spina Bifida)
•
ระบบกระดูกกล้ามเนื้อพิการด้วยโรคติดเชื้อ
(Infection) เช่น วัณโรค กระดูกหลังโกง กระดูกผุ เป็นแผลเรื้อรังมีหนอง เศษกระดูกผุ
•
กระดูกหัก ข้อเคลื่อน ข้ออักเสบ
โปลิโอ (Poliomyelitis)
•
มีอาการกล้ามเนื้อลีบเล็ก
แต่ไม่มีผลกระทบต่อสติปัญญา
•
ยืนไม่ได้
หรืออาจปรับสภาพให้ยืนเดินได้ด้วยอุปกรณ์เสริม
โรคกระดูกอ่อน
(Osteogenesis Imperfeta)
โรคศีรษะโต (Hydrocephalus)
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
(Rheumatoid arthritis)
โรคระบบทางเดินหายใจ
โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus)
โรคหัวใจ (Cardiac Conditions)
โรคมะเร็ง (Cancer)
เลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia)
แขนขาด้วนแต่กำเนิด
(Limb Deficiency)
ลักษณะของเด็กบกพร่องทางร่างกายและสุขภาพ
•
มีปัญหาเกี่ยวกับการทรงตัว
•
ท่าเดินคล้ายกรรไกร
•
เดินขากะเผลก หรืออึดอาดเชื่องช้า
•
ไอเสียงแห้งบ่อย ๆ
•
มักบ่นเจ็บหน้าอก บ่นปวดหลัง
•
หน้าแดงง่าย มีสีเขียวจางบนแก้ม
ริมฝีปากหรือปลายนิ้ว
•
หกล้มบ่อย ๆ
•
หิวและกระหายน้าอย่างเกินกว่าเหตุ
ประเมินการเรียนรู้
ประเมินอาจารย์
อาจารย์ใช้น้ำเสียงในการสอนสุุภาพอ่อนหวานทำให้น่าฟังและนักศึกษาสนในเรียนมากขึ้นเตรียมแผนการสอนมาเป็นอย่างดีทำให้การสอนราบรื่น
ประเมินตนเอง
เข้าใจในเนื้อหาที่อาจารย์สอน
ตั้งใจเรียนมีคุยบ้างเล็กน้อย